All entries for November 2006
November 24, 2006
A and Me
หลายต่อหลายคน มักจะถามเอว่ามี ”แฟนหรือยัง”
หลายครั้ง เอไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไร
หลายหน เอต้องโกหกว่า เอมีแฟนแล้ว ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีใคร
หลายที ที่เอกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราไม่มีแฟน
ทุกครั้งที่เห็นภาพถ่ายเพื่อนๆคู่กับแฟน เอจะถามตัวเองเสมอว่า ทำไมเราไม่เคยมีใครถ่ายรูปแบบนี้บ้าง
ทุกครั้งที่เห็นของขวัญวันวาเลนไทน์ ที่เพื่อนและแฟนมอบให้กัน เอก็ยังคงถามตัวเองต่อไปว่า ทำไมเราถึงไม่ได้ของขวัญจากใครเลย
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนและแฟนจับมือกัน เอมองมือตัวเอง และถามต่อไปว่า มือนี้จะมีใครมาจับไหม
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนและแฟนบอกรักกัน ใช่ เอก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้ว่า ต่อไปจะมีใครบอกรักเออย่างนั้นบ้างหรือป่าว
และแล้ววันหนึ่งหลังจากที่เอต้องเดินฝ่าฝนกลับบ้าน และต้องเสียเวลาไปมากมายเพราะหลงทาง แต่ท้ายที่สุดเอก็เจอคนที่น่าจะให้คำตอบทั้งหมดกับเอได้
เอรีบร้อนและคาดคั้นคำตอบจากเขามากเกินไป สุดท้ายเอเลยไม่ได้คำตอบ
แต่น่าแปลกที่แม้เอไม่ได้คำตอบจากเขา แต่เอกลับตอบคำถามทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง
หลายต่อหลายคน ที่ถามเอว่ามี ”แฟนหรือยัง”
ครั้งนี้ เอรู้แล้วว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
ครั้งนี้ เอไม่ต้องโกหกว่า เอมีแฟนแล้ว ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีใคร
ครั้งนี้ เอตอบได้แล้วว่า เอมีคนที่เอรัก
ทุกครั้งที่เห็นภาพถ่ายเพื่อนๆคู่กับแฟน แม้รูปถ่ายของเอยังคงโดดเดียว แต่กรอบรูปข้างๆที่วางอยู่ติดกัน คือรูปของคนที่เอรัก
ทุกครั้งที่เห็นของขวัญวันวาเลนไทน์ ที่เพื่อนและแฟนมอบให้กัน แม้เอจะยังคงไม่ได้ของขวัญจากใคร แต่เอเก็บของขวัญที่เอตั้งใจทำให้คนที่เอรักทุกปี ทำไมเอไม่ให้เขา? เอรู้ว่าคงไม่เหมาะที่จะให้ของขวัญวาเลนไทน์กับคนที่เอรักที่เขาก็มีคนที่เขารักอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนและแฟนจับมือกัน มือของเอก็ยังคงวางเปล่า แต่เอมีปากกาด้ามหนึ่งที่เอเก็บไว้กับตัวตลอด ปากกาด้ามนี้ เป็นด้ามที่คนที่เอรักเคยใช้ ทุกครั้งที่สัมผัสปากกาด้ามนี้ นี่แหละเป็นการสัมผัสมือกันระหว่างเขากับเอ
ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนและแฟนบอกรักกัน ใช่ เอก็ยังไม่มีใครบอกรักเอ แต่เอบอกรักคนที่เอรักผ่านกรอบรูปบานนั้นทุกวัน
ฉันรู้จักเอมานาน และฉันก็รักเอ ฉันไม่อยากเห็นเอไม่มีความสุข แต่ฉันก็มองไม่ออกจริงๆว่าสิ่งที่เอทำ เอมีความสุขจริงๆหรือป่าว
ฉันได้แต่บอกเอว่า ถ้าเอทุกข์ ฉันขอให้เอหยุดทำ แต่ก็อีกนั่นแหละ เราสนิทกันมากเกินไป เอไม่ฟังสิ่งที่ฉันพูดหรอก
ฉันรู้ว่า วันหนึ่ง ถ้าฝนตกหนักมากๆ เอจะหลงทางอีก แต่เอจะไม่มีวันลืมเส้นทางที่เอได้เลือกไว้แล้ว
แล้วอย่างนี้เอจะเดินทางถึงจุดหมายไหม ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันรู้เพียงแต่ว่า ไม่ว่าอย่างไร ฉันศรัทธาในความมั่นคงของเอ
November 11, 2006
Past Simple Life (Thai Version) I
*ถนน*
เสียงนาฬิกาดังขึ้น ปลุกฉันจากฝันร้ายที่ไม่ได้ฝันถึงมานานหลายสิบปี เมื่อคืนฉันคงกินมากเกินไปเลยฝันอะไรเลอะเทอะ ไร้สาระ วันนี้เป็นวันดี ฉันต้องสลัดความกังวลใจทิ้งไปเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงความฝัน มันไม่อาจเกิดขึ้นจริงได้อีกแล้วในชาตินี้
“มาแต่เช้าเชียวตะวัน เรื่องทำบุญทำนานนี้ไม่เคยขาดเลยนะ ระวังบุญทับตายนะโว้ย” กิ่งกล่าวทัก เมื่อเห็นฉันเดินเข้าบ้าน บ้านกิ่งมักเป็นสถานที่นัดพบของเพื่อนๆ ในกลุ่มก่อนที่จะออกไปทำกิจกรรมด้วยกันเสมอๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ปากเสียแต่เช้าเลยนะกิ่ง เธอนี้มันจริงๆ เลย จะไปทำบุญอยู่แล้วยังพูดจากวนโมโหอีก” ฉันบ่น
“แหม คบกันมาเป็นสิบๆปี ยังไม่ชินอีกหรือไง ปากฉันมันก็เสียอย่างนี้มาชาติเศษแล้ว” กิ่งเถียง
“จ้าๆ แม่ปากไม่มีหูรูด อืม แล้วคนอื่นมากันหรือยัง” ฉันถาม
“ยังเลย ใครเขาจะมาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวโห่อย่างเธอ มานี้มา มาช่วยฉันจัดของบริจาคดีกว่า” กิ่งกวักมือเรียก
กิ่งและฉันเป็นเพื่อนรักกันมานาน เรารู้เรื่องราวทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของอีกฝ่าย ทั้งดีและ ไม่ดี ครั้งนี้ กิ่งกับฉันและเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม ตัดสินใจจะไปทำบุญด้วยกันที่วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เพื่อนคนหนึ่งเป็นคนออกความคิดเห็นว่า พวกเรามักจะทำบุญกับเด็กด้อยโอกาส คนพิการ หรือไม่ก็คนชรา แต่เราไม่เคยช่วยเหลือคนกลุ่มนี้เลย ฉันและเพื่อนๆ ในกลุ่มต่างก็เห็นด้วย คนกลุ่มนี้แม้จะอยู่ได้ไม่นานนักและสิ่งที่พวกเราทำอาจช่วยเหลืออะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อย การที่เราเข้าไปช่วยเหลือเขาโดยไม่แสดงท่าทีรังเกียจ ก็น่าจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขและมีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายได้ โรคที่นอกจากจะทำลายร่างกายของเจ้าของที่มันอาศัยอยู่ ก็ยังทำลายจิตใจของเจ้าของให้หดหู่ทุกข์ทรมาน ที่ต้องนั่งรอความตายเพียงอย่างเดียว มิหนำซ้ำยังต้องเจ็บป่วยจากท่าทีรังเกียจของคนอื่นๆ อีกด้วย วัดนี้เป็นสถานที่หนึ่งที่พยาบาลรักษาคนไข้กลุ่มนี้ ผู้ที่ต้องทุกข์ทรมานจากโรคเอดส์ น่าเสียดายตรงที่วัดนี้ไม่น่าอยู่ในจังหวัดนี้เลย ไม่เช่นนั้นฉันคงสบายใจในการไปทำบุญครั้งนี้มากกว่านี้
ล้อรถที่เราใช้เป็นยานพาหนะเริ่มหมุนเมื่อเพื่อนร่วมเดินทางมาครบ แต่กงล้อในใจฉันกลับหมุนถอยหลังพาห่วงสำนึกของฉันย้อนกลับไปสู่อดีต ยิ่งใกล้จังหวัดลพบุรีมากเท่าไร ภาพความทรงจำที่เป็นเหมือนฝันร้ายก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ
“เป็นอะไรตะวัน นั่งนิ่งเชียว บอกแล้วว่าให้ไปที่อื่นก็ไม่เชื่อ” กิ่งกระซิบถาม
ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เธอนะคิดมาก คงแค่เมารถ เดี๋ยวหลับสักงีบคงดีขึ้น ฉันรีบหลับตาแล้วปรับเบาะที่นั่งเอนลงเล็กน้อย ทำทีท่าเคลิ้มหลับกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงในจิตใจ
“เธอเคยเมารถที่ไหน นึกว่าฉันรู้ไม่ทันเหรอ ตะวัน” กิ่งบ่นพึงพำก่อนที่จะหลับตาของเธอลงเช่นกัน
ฉันเบนหน้าออกทางหน้าต่าง ป้ายทางหลวงบอกระยะทางยิ่งใกล้จังหวัดลพบุรีเข้าไปทีไร จิตใจฉันก็ยิ่งว้าวุ่น สับสน ฉันทำได้แต่เพียงพยายามสะกดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนจะเป็นที่ผิดสังเกต
ลพบุรีเป็นจังหวัดบ้านเกิดของคนที่ฉันรัก เราคบกันเกือบหนึ่งปีแต่ก็มีเหตุต้องเลิกรากันไป เหตุที่ความสัมพันธ์ของเราจบลงไม่สวยงามนัก ภาพเหตุการณ์เก่าๆ จึงเป็นเหมือนฝันร้ายที่ติดตามหลอกหลอนฉันอยู่เป็นเวลาหลายปี เราสองคนแตกต่างกันมากเกินไป ฉันเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งชื่อ “A Fiddler on the Roof” ในเรื่องผู้เป็นพ่อกล่าวตักเตือนลูกสาววัยแรกรุ่นที่กำลังปลงใจแต่งงานกับชายหนุ่มต่างชาติต่างภาษาว่า “A bird may love a fish, but where could they build a home
together ?” ถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะแปลได้ว่า “วิหคอาจหลงรักมัจฉา หากแต่มีที่ใดที่มันจะสร้างวิมานอยู่ร่วมกันได้”
ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้อย่างถ่องแท้นัก จนกระทั่งได้มาประสบด้วยตนเอง บางทีถ้าคนสองคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกันมากเกินไป ก็อาจเป็นเรื่องยากที่คนสองคนนั้นจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การที่ต่างฝ่ายต่างฝืนตนเองเพื่อพยายามที่จะได้อยู่ด้วยกัน อาจเป็นการทำร้ายให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานก็เป็นได้ และก็อาจเป็นฉนวนทำให้ความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ดีงามต้องพังทลายลงไปในชั่วพริบตา
ฉันเดินทางมาไกลเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เหลือบตามองริมถนน ป้ายทางหลวงบอกระยะทางใกล้เข้าจังหวัดลพบุรีมากขึ้น ภาพอดีตก็กลับชัดเจน แจ่มใสในห่วงสำนึกของฉันมากขึ้นเช่นกัน
Past Simple Life (Thai Version) II
“พี่ๆ ไนท์มีอะไรจะบอก” เขากล่าว
“เรื่องอะไร ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีเอาไว้ก่อนนะ เรายังไม่พร้อมที่จะฟัง” ฉันตอบ
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พี่ก็รู้เอง” เขากล่าวพร้อมกับเอื้อมมือปิดไฟ
เช้าวันรุ่งขึ้น
“อ้าว มาทำอะไรที่นี่ละไนท์ ทำไมไม่เข้าเรียน” ฉันกล่าวถามอย่างประหลาดใจ
“ไนท์มาลาออกพี่ ไนท์จะไปเรียนรามแล้ว” เขาตอบ เดี๋ยวพี่ตามไนท์กลับไปที่หอด้วยนะ”
ฉันยืนงงอยู่พักใหญ่ รีบทำธุระของตัวเองแล้วตามเขากลับไปที่หอพัก เมื่อถึงหอ ฉันเปิดประตูห้องเข้าไป เขาเก็บข้าวของทุกอย่างที่เป็นของเขาใส่ลงกระเป๋าเดินทางจนหมด เขานั่งอยู่ที่ปลายเตียงรอฉันกลับมา
“ไนท์จะไปไหน ไนท์ทำอะไร ทำไมไม่บอกเราก่อน” ฉันถามอย่างสับสนว้าวุ่น น้ำเสียงสั่นเครือ
“ไนท์ไปละพี่” เขาตอบแล้วก็หยิบกระเป๋าเดินทางเตรียมออกจากห้อง
ฉันเผลอรั้งแขนของเขาไว้ นัยน์ตาเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ จนมองภาพเขาไม่ชัดเจน
“ไหนไนท์บอกว่าจะไม่ทิ้งเราไง เราอุตสาห์เสียเพื่อน ทิ้งเขามาเปิดห้องใหม่อยู่กับไนท์ แต่ไนท์กลับมาทิ้งเราไปแบบนี้”
เขาสะบัดมือฉันออกจากแขนของเขา “แล้วพี่จะให้ไนท์ทำอย่างไร พ่อแม่ไนท์เขาให้ไนท์ลาออก” พอกล่าวจบเขาก็เดินจากฉันไป
ฉันตามอ้อนวอนให้เขาอยู่กับฉันให้นานกว่านี้อีกสักนิดเพราะฉันทำใจไม่ได้ที่เขามาจากฉันเร็วเกินไป ฉันตามเขาขึ้นไปบนรถประจำทาง ตามไปนั่งที่นั่งข้างๆ เขา เขาก็ลุกหนีฉัน ที่แล้วที่เล่าจนผู้โดยสารทั้งคันรถเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ ฉันทนความอับอายไม่ไหวจึงลงจากรถและกลับไปที่หอพัก คืนนั้น ฉันต้องนอนในหอพักห้องเดิมคนเดียว ทุกตารางนิ้วเป็นที่ที่เขาเคยสัมผัส หมอนของเขายังคงมีกลิ่นของเขาอยู่ ฉันทนความอ้างว้าง ว้าเหว่ เดียวดาย และเสียใจไม่ไหว จึงหยิงมีดคว้านที่ฉันเคยนำมาแกะสลักพานไหว้ครูให้เขาจนเกือบได้รับรางวัลมากรีดข้อมือตัวอง โชคดีที่กิ่งเข้ามาเห็นทันจึงพาฉันไปยังโรงพยาบาล บาดแผลในวันนั้นยังคงทิ้งร่องรอยปรากฏให้ฉันต้องเจ็บปวดอยู่ลึกๆ จนถึงทุกวันนี้
สายตาพร่ามัวของฉันจับเข้ากับป้ายทางหลวงอีกแล้ว อีกไม่ไกลก็จะถึงจังหวัดลพบุรีแล้ว
“ฮัลโหล” เขารับสาย
“ฮัลโหล ไหนบอกจะมาหาเราทำไมไม่มาละ ให้เรารอเก้ออีกแล้วนะ” ฉันถาม
“ไนท์กลับบ้านพี่ พอดีรีบกลับเลยไม่ได้เอามือถือไปด้วย ขอโทษ ขอโทษ” เขากล่าว
“แล้วทำไมไม่บอกเราล่ะ ไนท์ทำอย่างนี้กี่รอบแล้ว ไนท์ไม่สนใจความรู้สึกเราเลยว่าเราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไนท์ต้องทำตัวแย่ๆ กับเราตลอดเวลาทั้งที่เราเป็นคนเดียวที่ดีกับไนท์มากที่สุด” ฉันระเบิดอารมณ์ใส่เขาแต่ก็ยังพูดไม่ทันจบเขาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“โอ๊ย ! พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว แค่นี้นะ” เมื่อพูดจบเขาก็วางสายใส่ฉันทันที ฉันรีบโทรกลับแต่เขาปิดเครื่องหนี ความโกรธ ความโมโห ความเกลียดชังได้เข้ามาแทนที่ความรักที่มีต่อเขาจนหมดสิ้น ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือเข้ามาแล้วพิมพ์ข้อความถึงเขาทันที “เงินทั้งหมดที่ไนท์ยืมไป ก่อนวันศุกร์นี้ต้องเข้าบัญชีเราไม่เช่นนั้นเรื่องถึงแม่นายแน่” ฉันพิมพ์แล้วก็กดส่งถึงเขาโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น สักพักหนึ่งเขาโทรกลับมาแต่คราวนี้ ฉันเป็นฝ่ายปิดโทรศัพท์หนีเขาบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันลองเปิดโทรศัพท์มือถือ มีข้อความส่งมาถึงฉันตอนประมาณตีห้ากว่า เขาเป็นผู้ส่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตาสว่างเสียที จะได้ไม่ต้องพูดมาก เรื่องเงินอยากฟ้องใครก็เชิญ ประจานความโง่ของตัวเอง” นั่นเป็นข้อความสุดท้ายที่ยาวที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับจากผู้ชายคนนี้ ฉันตัดสินใจโทรกลับหาเขา คราวนี้ ฉันเลยได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้เพิ่มมากขึ้นอีกมากมายนัก เขาบอกฉันว่าที่เขาต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยก็เป็นเพราะฉัน และที่เขาไม่อยากมาหาฉันก็เพราะเขาสะอิดสะเอียดที่ต้องใกล้ชิดกับคนอย่างฉัน เขาบอกว่าฉันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้ตัวที่คอยให้คนอื่นเลี้ยง ฉันได้แต่นิ่งเงียบและพยายามฟังน้ำเสียงของเขา เพราะนั่นเป็นน้ำเสียงที่ฉันไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย อาจเป็นเพราะว่า ครั้งนั้นเขาจริงใจกับทุกคำพูดที่พูดออกมามากที่สุดน้ำเสียงจึงแปลกและแตกต่างไปจากน้ำเสียงที่ฉันเคยได้ยินมาทุกวันก่อนหน้านี้
Past Simple Life (Thai Version) III
รถของเราเดินทางมาถึงลานหน้าวัดพระบาทน้ำพุแล้ว วัดดูร่มรื่นดี แต่น่าแปลกตรงที่แทนที่จะน่าจะได้กลิ่นธูปเทียนเช่นวันอื่นๆ กลับได้กลิ่นยาเหมือนเป็นโรงพยาบาลเสียแทน ฉันและเพื่อนลงจากรถและตรงไปที่กุฏิเจ้าอาวาส
“กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ พวกหนูเป็นคณะที่จะมาบริจาคปัจจัยและของใช้ที่จำเป็นจากกรุงเทพเจ้าค่ะ” ฉันกล่าว
“อ๋อ อาตมาจำได้แล้ว เจริญพรนะโยม เดินทางมาไกล พักเหนื่อยดื่มน้ำกันก่อนเถอะ”
เรานั่งพักผ่อนและสนทนากับเจ้าอาวาสครู่หนึ่ง พอหายเหนื่อย เจ้าอาวาสแนะนำให้เราเข้าไปบริจาคของแก่คนไขที่เตียงนอนด้วยตนเอง
ฉันและเพื่อนๆ กระจายกันบริจาคของตามเตียงคนไข้แต่ละแถวแยกกันไป ฉันได้แถวกลาง คนไข้ที่นี่บางคนมีสภาพน่าสงสารแต่ก็ดูมีกำลังใจและยิ้มแย้มเมื่อฉันนำของเข้าไปให้และได้พูดคุยกับเขา
“เอ๊ะ เตียงใครคะคุณลง เสียดายจังไม่ได้มอบของให้กับมือเขาเอง” ฉันกล่าวถามคุณลุงคนไข้เตียงข้างๆ
“มันไปห้องน้ำนะ เดี๋ยวคงมา อ้าว นั่นไงมาพอดีเลยคุณ อยู่ข้างหลังคุณไง” ลุงตอบ
นัยน์ตาฉันเปิดโพลง จับจ้องอยู่กับภาพชายเบื้องหน้าไม่ละสายตา มือทั้งสองที่ถือของบริจาค จู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้ของบริจาคตกลงพื้นกระจายไปทั่ว ริมฝีปากฉันเผยอขึ้นแล้วก็เปล่งคำๆ หนึ่งออกมาโดยที่ฉันเองก็ไม่ทันรู้ตัว
“ไนท์”
นัยน์ตาของชายที่ฉันกำลังจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เปิดโพลง แสดงอาการตกใจไม่แพ้กัน เมื่อเขาตั้งสติได้ เขาก็เดินหันหลังให้ฉันพร้อมเดินห่างออกไปในทันที กระแสความทรงจำเก่าๆ ไหลย้อนเข้าถาโถมห่วงสำนึกฉันอย่างไม่มีทางหลบหนีได้ ฉันเผลอเอื้อมมือรั้งแขนของเขาไว้เหมือนที่เคยทำมาตลอดช่วงเวลาที่อยู่กับเขาเมื่อเวลาที่เขาพยายามตีจากฉันไป สัมผัสจากมือฉันทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวพร้อมสะบัดมือฉันออกอย่างฉับพลัน
“ไนท์ยังรังเกียจเราอยู่อีกเหรอ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะ ไนท์ยัง…” ฉันกล่าวถามเขาด้วยน้ำเสียงที่น่าสมเพชที่สุด ที่เขาก็ตอบขัดขึ้นมาก่อน
“ปล่าว ไนท์ไม่ได้รังเกียจพี่ แต่คราวนี้ พี่ต้องรังเกียจไนท์”
“ทำไมล่ะ ทำไม” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยดวงใจหวั่นไหวที่จะได้ยินคำตอบที่ตัวเองไม่ต้องการ
“พี่คิดว่าไนท์มาอยู่ที่นี่ เพราะอยากมาเที่ยวเหรอไง ไนท์เป็นเอดส์” เขาตอบ
ฉันทรุดตัวลงนั่ง นัยน์ตาพล่ามัวด้วยกระแสน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูเหมือนน้ำที่ถูกปล่อยจากเขื่อนบนเขาสูงฉันรู้สึกมึนและหนักศีรษะจนต้องนำมือทั้งสองขึ้นกดบริเวณขมับ หูทั้งสองฟังอะไรไม่ได้ศัพท์ ยินเพียงเสียงเรียกชื่อตนเองแววๆ จากที่ห่างไกลออกไป
“ตะวัน! ตะวัน! เป็นอะไรไป ทำไมนั่งกองกับพื้นอย่างนี้ละ” เสียงเรียกนั่นมาจากกิ่งนั่นเอง
“ลุกขึ้นเร็ว ร้องไห้ทำไมตะวัน” กิ่งพูดต่อ “คุณเป็นใคร ทำไมเพื่อนฉันร้องไห้มากมายขนาดนี้” กิ่งหันไปเล่นงานเขา
“เอ๊ะ… นาย นายมัน… นายมาทำอะไรที่… อ๋อ ฉันพอจะเข้าใจแล้ว สำน้ำหน้า สำส่อนอย่างนายฉันคิดไว้ไม่ผิด สักวันก็ต้องมีจุดจบแบบนี้ สารรูปทุเรศขนาดนี้ ดูสี คราวนี้จะเที่ยวไปหลอกใครเขาได้อีก กิ่งกล่าวโจมตีเขาทันทีที่จำเขาได้
“ไปตะวัน กลับ เพื่อนๆรออยู่ที่รถกันหมดแล้ว พรุ่งนี้เธอต้องทำงานนะ” กิ่งกล่าวแล้วก็ดึงฉันลุกขึ้นจากพื้นแล้วก็พาฉันไปที่รถ
Past Simple Life (Thai Version) IV
“อยู่คนเดียวได้แน่นะตะวัน อย่าลืมนะพรุ่งนี้เธอต้องไปสัมมนาที่ลอนดอน เรื่องอื่นทิ้งมันไปก่อนเรื่องงานสำคัญกว่านะ” กิ่งกล่าวเมื่อมาส่งฉันที่หน้าประตูบ้าน
“ไม่ต้องห่วงหรอกกิ่ง เธอก็รู้ว่าฉันเห็นงานสำคัญกว่าทุกเรื่องอยู่แล้ว” ฉันกล่าวอย่างพยายามมีสติให้มากที่สุดเพื่อให้เพื่อนคลายความกังวล
ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ความรู้สึกมากมายหลากหลายเข้ามาวนเวียนในหัวสมองของฉัน ฉันพยายามตั้งสติว่าตนเองกำลังฝันหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้เป็นเรื่องจริง ฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกดีใจลึกๆ ที่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ภาพของเขาทำให้ฉันปวดร้าวหัวใจเหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาดูผอมโทรมลงมาก ขอบตาเขาหมองคล้ำ แก้มทั้งสองตอบจนกระดูกแก้มปูดโปน เขาไม่เหลือภาพชายหนุ่มช่างสำอางที่หล่อเหลาจนใครๆ ก็ต้องหันกลับมามองอีกแล้ว ฉันรู้สึกสงสารเขาจนแทบใจจะขาด
เสียงเข็มนาฬิกาในห้องดีดังแข่งกับเสียงหัวใจที่อ่อนระโหยของฉัน ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เขาได้กระทำต่อฉันกลับชัดเจนดังกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นและจบลงไปเมื่อวาน ความคิดของฉันแยกตัวเองออกเป็นสองฝ่ายอย่างว้าวุ่น ขัดแย้ง สับสนและโจมตีกันเองอยู่ในจิตใจฉันอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉันเคยบอกเขาว่าฉันจะรักเขาไปจนชั่วชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร แต่ฉันก็ทำอย่างที่พูดไม่ได้ ฉันเป็นคนถือเรื่องคำพูดมาก คนเราต่างจากสัตว์ก็ตรงที่เรามีภาษาที่มีแบบแผนไว้สื่อสาร คำพูดเป็นสิ่งที่บรรจุความหมายที่เราต้องการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจเรา ถ้าคนเราดีแต่พูด แต่รักษาความหมายของคำที่ตัวเองพูดไม่ได้ ฉันว่านั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สัตว์ส่งเสียงร้องออกมาตามสันชาตญาณของตัวเท่านั้นเอง เขาไม่ควรใช้คำเรียกตัวเองว่าคนด้วยซ้ำ และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกเสมอว่าเขาไม่เคยทำตัวเป็นคนได้เลย เขาไม่เคยรักษาคำพูดที่ให้กับฉัน ฉะนั้น ฉันจึงคิดว่าฉันทำถูกแล้วที่ไม่รักษาคำพูดที่มีต่อเขา …แต่… ก็ไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันเลือกได้นี่ว่า ฉันจะทำตัวเป็นคนรักษาคำพูดของตัว และอันที่จริงฉันก็ยังรักเขาอยู่ ฉันควรกลับไปช่วยเหลือเขา คนที่ฉันรักกำลังเดือดร้อนอยู่ …แต่… เพื่อนๆ ของฉันล่ะคนที่เขารักฉันมาตลอดเวลา …และ…ถึงเพื่อนๆของฉันจะเข้าใจและยอมรับได้ ฉันต้องไม่ลืมว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาเป็นเอดส์นะ! ฉันจะพาคนติดเชื้อเอดส์มาอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวของฉันได้อย่างไร ฉันต้องเห็นแก่ตัวรวมไปถึงสนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ ใกล้ตัวฉันด้วย พ่อแม่ฉันจะรู้สึกอย่างไร จะคิดอย่างไร ฉันไม่มีทางย้ายไปอยู่ที่อื่นกับเขาสองคนแน่ๆ ไหนจะหน้าที่การงานฉันอีก ทุกวันนี้ ฉันก็ทำงานวันละเกือบ 20 ชั่วโมงอยู่แล้ว ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลเขา …ที่สำคัญ… เขาอาจจะรังเกียจฉันอยู่จนไม่ยอมมาอยู่กับฉันก็เป็นได้ …หรือ… ถ้าเขายอมมาอยู่กับฉันจริงๆ เราจะเข้ากันได้เหมือนเดิม …หรือ…
กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กระชากฉันออกจากพะวังเขาวงกตที่ไม่มีทางออก
“หัวหน้าคะ หนูโทรมาคอมเฟริม์ไฟล์ทไปสัมมนาที่ลอนดอนวันพรุ่งนี้นะคะ หัวหน้าไม่ได้ลืมใช่ไหมคะ” เลขานุการฉันกล่าว
“อืม จริงสิ พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปสัมมนาที่ลอนดอน กี่โมงนะคะ” ฉันถามเมื่อเรียกสติตัวเองคืนมาได้
“เครื่องออกแปดโมงเช้าคะ หัวหน้าเป็นอะไรหรือป่าวคะ เสียงดูไม่ค่อยสบายนะคะ” เธอถามอย่างเป็นห่วง
“ป่าวค่ะ ฉันสบายดี พรุ่งนี้เจอกันที่แอร์พอร์ทค่ะ” ฉันตอบแล้ววางหู
ฉันสลัดความกังวลใจส่วนตัวทิ้งไป มุ่งสนใจแต่งานที่ต้องเตรียมไปสัมมนา คราวนี้ฉันต้องไปนานหลายเดือนต้องเตรียมตัวให้พร้อม กลับมาแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี