November 11, 2006

Past Simple Life (Thai Version) IV

“อยู่คนเดียวได้แน่นะตะวัน อย่าลืมนะพรุ่งนี้เธอต้องไปสัมมนาที่ลอนดอน เรื่องอื่นทิ้งมันไปก่อนเรื่องงานสำคัญกว่านะ” กิ่งกล่าวเมื่อมาส่งฉันที่หน้าประตูบ้าน
“ไม่ต้องห่วงหรอกกิ่ง เธอก็รู้ว่าฉันเห็นงานสำคัญกว่าทุกเรื่องอยู่แล้ว” ฉันกล่าวอย่างพยายามมีสติให้มากที่สุดเพื่อให้เพื่อนคลายความกังวล
ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ความรู้สึกมากมายหลากหลายเข้ามาวนเวียนในหัวสมองของฉัน ฉันพยายามตั้งสติว่าตนเองกำลังฝันหรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้เป็นเรื่องจริง ฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกดีใจลึกๆ ที่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ภาพของเขาทำให้ฉันปวดร้าวหัวใจเหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาดูผอมโทรมลงมาก ขอบตาเขาหมองคล้ำ แก้มทั้งสองตอบจนกระดูกแก้มปูดโปน เขาไม่เหลือภาพชายหนุ่มช่างสำอางที่หล่อเหลาจนใครๆ ก็ต้องหันกลับมามองอีกแล้ว ฉันรู้สึกสงสารเขาจนแทบใจจะขาด

เสียงเข็มนาฬิกาในห้องดีดังแข่งกับเสียงหัวใจที่อ่อนระโหยของฉัน ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เขาได้กระทำต่อฉันกลับชัดเจนดังกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นและจบลงไปเมื่อวาน ความคิดของฉันแยกตัวเองออกเป็นสองฝ่ายอย่างว้าวุ่น ขัดแย้ง สับสนและโจมตีกันเองอยู่ในจิตใจฉันอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉันเคยบอกเขาว่าฉันจะรักเขาไปจนชั่วชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร แต่ฉันก็ทำอย่างที่พูดไม่ได้ ฉันเป็นคนถือเรื่องคำพูดมาก คนเราต่างจากสัตว์ก็ตรงที่เรามีภาษาที่มีแบบแผนไว้สื่อสาร คำพูดเป็นสิ่งที่บรรจุความหมายที่เราต้องการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจเรา ถ้าคนเราดีแต่พูด แต่รักษาความหมายของคำที่ตัวเองพูดไม่ได้ ฉันว่านั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สัตว์ส่งเสียงร้องออกมาตามสันชาตญาณของตัวเท่านั้นเอง เขาไม่ควรใช้คำเรียกตัวเองว่าคนด้วยซ้ำ และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาก็ทำให้ฉันรู้สึกเสมอว่าเขาไม่เคยทำตัวเป็นคนได้เลย เขาไม่เคยรักษาคำพูดที่ให้กับฉัน ฉะนั้น ฉันจึงคิดว่าฉันทำถูกแล้วที่ไม่รักษาคำพูดที่มีต่อเขา …แต่… ก็ไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันเลือกได้นี่ว่า ฉันจะทำตัวเป็นคนรักษาคำพูดของตัว และอันที่จริงฉันก็ยังรักเขาอยู่ ฉันควรกลับไปช่วยเหลือเขา คนที่ฉันรักกำลังเดือดร้อนอยู่ …แต่… เพื่อนๆ ของฉันล่ะคนที่เขารักฉันมาตลอดเวลา …และ…ถึงเพื่อนๆของฉันจะเข้าใจและยอมรับได้ ฉันต้องไม่ลืมว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาเป็นเอดส์นะ! ฉันจะพาคนติดเชื้อเอดส์มาอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวของฉันได้อย่างไร ฉันต้องเห็นแก่ตัวรวมไปถึงสนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ ใกล้ตัวฉันด้วย พ่อแม่ฉันจะรู้สึกอย่างไร จะคิดอย่างไร ฉันไม่มีทางย้ายไปอยู่ที่อื่นกับเขาสองคนแน่ๆ ไหนจะหน้าที่การงานฉันอีก ทุกวันนี้ ฉันก็ทำงานวันละเกือบ 20 ชั่วโมงอยู่แล้ว ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลเขา …ที่สำคัญ… เขาอาจจะรังเกียจฉันอยู่จนไม่ยอมมาอยู่กับฉันก็เป็นได้ …หรือ… ถ้าเขายอมมาอยู่กับฉันจริงๆ เราจะเข้ากันได้เหมือนเดิม …หรือ…

กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กระชากฉันออกจากพะวังเขาวงกตที่ไม่มีทางออก
“หัวหน้าคะ หนูโทรมาคอมเฟริม์ไฟล์ทไปสัมมนาที่ลอนดอนวันพรุ่งนี้นะคะ หัวหน้าไม่ได้ลืมใช่ไหมคะ” เลขานุการฉันกล่าว
“อืม จริงสิ พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปสัมมนาที่ลอนดอน กี่โมงนะคะ” ฉันถามเมื่อเรียกสติตัวเองคืนมาได้
“เครื่องออกแปดโมงเช้าคะ หัวหน้าเป็นอะไรหรือป่าวคะ เสียงดูไม่ค่อยสบายนะคะ” เธอถามอย่างเป็นห่วง
“ป่าวค่ะ ฉันสบายดี พรุ่งนี้เจอกันที่แอร์พอร์ทค่ะ” ฉันตอบแล้ววางหู
ฉันสลัดความกังวลใจส่วนตัวทิ้งไป มุ่งสนใจแต่งานที่ต้องเตรียมไปสัมมนา คราวนี้ฉันต้องไปนานหลายเดือนต้องเตรียมตัวให้พร้อม กลับมาแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี


- No comments Not publicly viewable


Add a comment

You are not allowed to comment on this entry as it has restricted commenting permissions.

November 2006

Mo Tu We Th Fr Sa Su
|  Today  | Dec
      1 2 3 4 5
6 7 8 9 10 11 12
13 14 15 16 17 18 19
20 21 22 23 24 25 26
27 28 29 30         

Search this blog

Tags

Galleries

Most recent comments

  • กรี๊ดๆๆๆๆๆ อารายจ๊ะเนี่ย เผลอแป๊บเดียว แอบไปทำสวยมาเรอะ 5555555 ได้ข่าวว่าไปเรียนการแปลไม่ใช่หรอ ไหง… by Som on this entry
  • by mama de la Ho-ya on this entry
  • Fat Fat Fat Me and Note (Not you na) Su Su Su woy woy woy by on this entry
  • reminds me of W.H. Auden's "Funeral Blues" will wait for Thai version na by on this entry
  • _ by sayamon777@hotmail.com on this entry

Blog archive

Loading…
Not signed in
Sign in

Powered by BlogBuilder
© MMXXIII